วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 11 แนวทางประกอบธุรกิจ

บทที่ 11 แนวทางประกอบธุรกิจ

สาระสำคัญ
    ในบทนี้จะกล่าวถึงแนวทางการประกอบธุรกิจทางด้านคอมพิวเตอร์และด้านอื่น ๆ เช่น การวางแผนทางการตลาด การขาย แหล่งที่มาของเงินทุน คุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจ ปัญหาในการดำเนินการต่าง ๆ เป็นต้น

เรื่องที่จะศึกษา

- ความหมายของธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์
- แนวคิดทางการตลาด
- การวางแผนการตลาด
- แผนการขาย
- แหล่งที่มาของเงินทุน
- คุณสมบัติของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม
- ปัญหาในการดำเนินธุรกิจขนาดย่อม
- การเลือกประกอบอาชีพอิสระ
- คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- ปัญหาและข้อแนะนำในการประกอบธุรกิจ


จุดประสงค์การเรียนรู้
  1. บอกความหมายของธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ได้
  2. เขียนแนวคิดทางการตลาด
  3. การวางแผนการตลาดได้
  4. แผนการขายได้
  5. หาแหล่งที่มาของเงินทุนได้
  6. เขียนคุณสมบัติของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมได้
  7. เขียนปัญหาในการดำเนินธุรกิจขนาดย่อมได้
  8. เลือกประกอบอาชีพอิสระตามที่ตัวเองชอบได้
  9. เขียนคุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพอิสระได้
  10. เขียนปัญหาและข้อแนะนำในการประกอบธุรกิจได้
ความหมายของธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์

ธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ คือ กิจกรรมที่ดำเนินโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพื่อก่อให้เกิดรายได้โดยมุ่งหวังกำไร ธุรกิจอาจเป็นการผลิต การติดตั้ง การเขียนโปรแกรม การออกแบบระบบ 

การจัดการ คือ กระบวนการที่ใช้บุคคลหรือทรัพยากรของหน่วยงานที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน เพื่อผฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร ในการจัดการมักจะอาศัยทรัพยากรหลักประเภทวัสดุอุปกรณ์ คน เงิน และข่าวสารข้อมูล

การจัดการธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ หมายถึง กระบวนการดำเนินงานทางธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายขององค์กรจากการทำงานร่วมกัน โดยใช้บุคคล ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ คน เงิน และวิธีการซึ่งเริ่มจากการวางแผน การจัดองค์กร การบริหารงานบุคคลมาผสมผสานกัน เพื่อให้เกิดสินค้าและบริการที่สนองต่อความต้องการของลูกค้าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

แนวคิดทางการตลาด
หมายถึง การที่สินค้าด้านคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้รับการจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดความพึงพอใจต่อลูกค้าด้วยวิธีการที่องค์กรธุรกิจกำหนด หรือวางแผนอันจะส่งผลให้ธุรกิจด้านคอมพิวเตอ์ประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย
องค์ประกอบของแนวคิดทางการตลาด
  1. ลูกค้า ผู้ประกอบธุรกิจต้องศึกษาความต้องการของลูกค้า และกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เป็นตัวกำหนดตลาด โดยวิธีการต่าง ๆ 
  2. ความสัมพันธ์ภายในระบบตลาด ได้แก่ การคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร การโฆษณา ฯลฯ
  3. กำไร คือ เป้าหมายสำคัญที่จะทำให้เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ และเพื่อความอยู่รอดของกิจการ 
การวางแผนการตลาด
เป็นกระบวนการที่สำคัญในการรวบรวมข้อมูลการตลาด เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมของลูกค้า ลักษณะของสินค้า กลุ่มผู้บริโภค และนำข้อมูลที่รวบรวมได้ไปใช้ประโยชน์วางแผนทางการตลาด โดยการวิเคราะห์โอกาสการตลาด และวิเคราะห์คู่แข่งขันให้ชัดเจน

แผนการขาย

การวางแผน (planning) เป็นภาระกิจขั้นแรกของทุกกระบวนการ เป็นนักขายก็ควรเขียนแผนการขายไว้ล่วงหน้าได้เหมือนกัน
ซึ่งหากแผนที่วางไว้เหมาะสมมีเหตุผลเป็นไปได้ การขายก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นบรรลุวัตถุประสงค์ กระบวนการวางแผนมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมการก่อนการวางแผน การวิเคราะห์ปัญหา การกำหนดแผนงานขาย การปฏิบัติตามแผน และการประเมิน
เมื่อตกลงจะมีการวางแผนงานแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องพิจารณาคือจัดหาข้อมูลมาให้ได้บริบูรณ์ ข้อมูลที่ต้องการคือรายละเอียดเกี่ยวกับปัจจัยทั้งหลาย และต้องเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือในกรณีขององค์การธุรกิจ การคาดคะเนการขาย (sales forecasting) เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะนำไปสู่การวางแผนขององค์การธุรกิจเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าธุรกิจอยู่ได้ด้วยการมีกำไร กำไรได้มาจากการจำหน่ายซึ่งสามารถจำหน่ายได้สูงกว่าต้นทุน ดังนั้นการจำหน่ายจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนธุรกิจ ถ้าธุรกิจคาดคะเนว่าจะจำหน่ายได้สูงกว่าปีที่แล้วมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ฝ่ายผลิต จะต้องปรับปรุงวางแผนการผลิตเพิ่มขึ้น ฝ่ายการเงิน จะต้องเตรียมจัดหาเงินมาลงทุนในการจัดซื้อและการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิต ฝ่ายการตลาด จะต้องเตรียมผู้คนและวงเงินค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายซึ่งจะต้องเพิ่มขึ้นตามอัตราส่วนเพิ่มของสินค้าที่จะจำหน่าย เป็นต้น

แหล่งที่มาของเงินทุน

บ่อยครั้งที่คำว่า “ไม่มีเงิน” ถูกใช้เป็นข้ออ้างที่สกัดการเริ่มต้นทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เป็นต้นว่าไม่มีทุนบ้าง ไม่มีแหล่งทุนบ้าง และทำให้หลายคนเลือกพับเก็บความคิดที่จะเริ่มต้นธุรกิจเอาไว้ แต่ในความจริงแล้วธุรกิจหลายรูปแบบใช้เงินทุนในการเริ่มตั้งกิจการไม่มากเลย โดยจุดสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจน่าจะอยู่ที่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีและตรงความต้องการของลูกค้า มีแนวทางการบริหารและการตลาดที่แข็งแรงขึ้นมาให้ได้ก่อน หลังจากที่เริ่มมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนและมีจุดเด่นน่าสนใจแล้วการจะออกไปหาเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตต่อเนื่องก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นและการทำธุรกิจก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูงขึ้น
เมื่อผ่านจุดตั้งต้นธุรกิจมาได้แล้ว จึงถึงเวลาเริ่มมองหาทุนเพื่อขยายกิจการและเร่งการผลิตให้ทันต่อการแข่งขันในตลาด แต่ด้วยความที่ธุรกิจยังอยู่ในจุดเริ่มต้น ยังไม่เป็นที่รู้จัก จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะระดมทุนด้วยการยื่นเสนอขายหุ้นในตลาด อย่างไรก็ดี ยังมีแหล่งทุนอื่นๆ ที่เข้าถึงได้และสามารถช่วยธุรกิจขนาดกลางและย่อมที่เพิ่มเริ่มต้นอยู่พอสมควร ตั้งแต่คนใกล้ตัวที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเราเช่นคุณพ่อคุณแม่ หรือแหล่งเงินทุนที่เป็นองค์กรอย่างธนาคารและนักลงทุน

ธนาคารพาณิชย์ถือเป็นแหล่งเงินทุนอันดับต้นๆ ที่เรามักนึกถึง เนื่องจากพบได้ทั่วไปและมีโปรโมชั่นออกมาเป็นจำนวนมาก แต่การขอสินเชื่อจากธนาคารก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว เพราะธนาคารก็จะต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจก่อนจึงจะอนุมัติให้สินเชื่อ โดยแผนส่วนใหญ่จะกำหนดคุณสมบัติของผู้กู้ต้องมีประสบการณ์ในด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องมาแล้ว 1-3 ปี ซึ่งน่าจะเป็นหลักประกันว่าผู้ประกอบการรู้จักธุรกิจนั้นๆ ดีในระดับหนึ่ง อีกทั้งหลายธนาคารก็มีข้อบังคับว่าผู้ประกอบการจะต้องนำเสนอแผนธุรกิจที่ชัดเจนและเป็นไปได้ก่อนการขออนุมัติสินเชื่อด้วย ดังนั้นการกู้ผ่านธนาคารอาจเหมาะกับเจ้าของกิจการที่ดำเนินงานมาสักระยะเกิน 1 ปีขึ้นไป ซึ่งจุดประสงค์ของการให้สินเชื่อก็เพื่อเพิ่มความคล่องตัวของเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อการขยายตัวของกิจการ
เมื่อเราตัดสินใจจะกู้เงินจากธนาคารแล้ว เราต้องศึกษาในรายละเอียดว่าในแต่ละแผนกำหนดให้ต้องเตรียมนำเสนออะไรบ้าง อาทิ คนค้ำประกัน หรือเครื่องค้ำประกันอื่นๆ เช่น สิ่งปลูกสร้าง สัญญาเช่าอาคาร แผนพัฒนาธุรกิจ เป็นต้น และธนาคารส่วนใหญ่มักขอดูเอกสารสำคัญของบริษัท เช่น หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท เอกสารภาษี ซึ่งการเตรียมการให้พร้อมก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ธนาคารอีกทางหนึ่ง
ธนาคารได้ผนวกบทบาทเป็นผู้ให้องค์ความรู้แก่
ผู้ประกอบการ ประคองให้กิจการเดินหน้าไปได้ รวมทั้งสร้างเครือข่ายธุรกิจ
นอกเหนือจากบทบาทแหล่งเงินทุนสินเชื่อแล้ว ช่วงหลังๆ ธนาคารต่างๆ ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยสนับสนุนช่วงเริ่มต้นและช่วงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากขึ้น โดยธนาคารได้ผนวกบทบาทเป็นองค์กรให้องค์ความรู้ผู้ประกอบการ ประคับประคองให้กิจการเดินหน้าไปได้ รวมทั้งสร้างเครือข่ายธุรกิจ อย่างเช่นโครงการ K SME Care ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งให้เจ้าของกิจการไม่ว่าจะเป็นลูกค้าของธนาคารหรือไม่สามารถเข้าร่วมโครงการเพื่อเข้าอบรม รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองทางธุรกิจกับเครือข่ายผู้ประกอบการรายอื่นๆ ด้วย

สิ่งที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในธุรกิจหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับการเติบโตและ
ผลประกอบการของบริษัทเป็นหลัก ทำให้นักลงทุนมักจะเป็นผู้ให้ความรู้และแนวทางในการดำเนินธุรกิจ หรือบางรายอาจส่งคนจากทีมเข้ามาบริหารงาน
สำหรับแหล่งทุนจากนักลงทุนจะมีวัตถุประสงค์การให้ทุนที่ต่างจากธนาคาร กล่าวคือธนาคารจะได้ประโยชน์จากการให้สินเชื่อโดยเก็บดอกเบี้ยจากผู้ขอสินเชื่อเป็นงวดๆ ไป ในขณะที่นักลงทุนจะมุ่งหวังการครอบครองหุ้นหรือกรรมสิทธิ์ในบริษัท นั่นหมายความว่าสิ่งที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในสักธุรกิจหนึ่งจึงต้องขึ้นอยู่กับการเติบโตและผลประกอบการของบริษัทเป็นหลัก ทำให้นักลงทุนมีอีกลักษณะที่แตกต่างจากธนาคาร คือมักจะเป็นผู้ให้ความรู้และแนวทางในการดำเนินธุรกิจ หรือบางรายอาจส่งคนจากทีมเข้ามาบริหารงานในธุรกิจ
โดยหลักๆ แล้วมีนักลงทุนอยู่ไม่กี่ประเภท ประเภทแรกคือนักลงทุนรายบุคคล หรือที่เรียกว่า angel investor และนักลงทุนระดับองค์กร venture capitals หรือที่เรียกกันบ่อยๆ ว่า VC ซึ่งที่จริงแล้วนักลงทุนทั้งสองประเภทนี้เป็นที่นิยมในบรรดาธุรกิจ startup ต่างประเทศเสียมาก และยังไม่ค่อยมีนักลงทุนประเภทนี้ในประเทศไทยมากนัก

angel investor สามารถเป็นใครก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นนักลงทุนรายบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ แตกต่างกันไป
สำหรับนักลงทุนประเภทนี้เป็นนักลงทุนอิสระที่สามารถให้ทุนเราได้โดยทันที ไม่ต้องมีแบบแผนในการยื่นขอทุนมากมาย เนื่องจากเป็นการติดต่อกับตัวบุคคลโดยตรงและทุนที่ให้ก็มักเป็นเงินทุนส่วนตัว การตัดสินใจให้ทุนก็มักอาศัยความเชื่อมั่นระหว่างกันเสียมาก ขณะเดียวกัน angel investor ก็มักจะเน้นน้ำหนักให้ความสำคัญกับแนวคิดธุรกิจที่น่าสนใจมากกว่าที่จะเน้นเรื่องผลตอบแทนในการลงทุน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจเรื่องผลตอบแทนเลย อันที่จริง angel investor ก็อาจขอผลตอบแทนเป็นสิทธิ์ในการถือหุ้น ส่วนเรื่องการบริหารงานในธุรกิจ angel investor มักจะไม่ค่อยเข้ามาก้าวก่ายการบริหารงานมากนัก มักจะปล่อยให้เจ้าของไอเดียเป็นคนบริหารให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้ แต่มักจะเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ให้คำปรึกษาและคำแนะนำมากกว่า
angel investor สามารถเป็นใครก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นนักลงทุนรายบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ แตกต่างกันไป นอกจากจะให้ทุนแล้ว angel investor ยังสามารถให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ เช่นให้ความรู้ สอนประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจช่วยแนะนำให้เราได้รู้จักบุคคลอื่นๆ ที่เป็นสามารถเป็นแหล่งทุนให้เราได้อีกด้วย

VC เป็นนักลงทุนในรูปแบบองค์กร หรืออาจเรียกว่าเป็นองค์กรที่ประกอบขึ้นมาจากนักลงทุนหลายๆ คนรวมตัวกัน มีการรวมเงินลงทุนเป็นก้อนเดียวและบริหารจัดการว่าจะนำเงินลงทุนก้อนใหญ่นั้นไปแบ่งลงทุนกับธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างไรบ้าง จึงอาจกล่าวได้ว่า VC อาจพิจารณาให้เงินทุนในจำนวนที่สูงกว่า angel investor ส่วนใหญ่ และเหมาะสำหรับกิจการที่ต้องการเงินก้อนใหญ่
โดยหลักๆ VC จะมุ่งหวังกำไรจากการลงทุนอย่างมาก และมองข้ามขั้นไปจนถึงว่าสามารถขายต่อกิจการของเราเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นได้
โดยหลักๆ VC จะมุ่งหวังกำไรจากการลงทุนอย่างมาก และมองข้ามขั้นไปจนถึงว่าสามารถขายต่อกิจการของเราเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นได้ ด้วยเหตุนี้ VC จึงมักส่งคนเข้ามาบริหารกิจการ เพื่อกำกับดูแลให้ธุรกิจของเราเติบโตได้ตามคาดหวัง รวมทั้งช่วยให้ความรู้และคำปรึกษาในเรื่องการบริหารธุรกิจด้วย สำหรับระดับการลงทุนของ VC มีตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นธุรกิจ ขั้นขยายกิจการ ระยะก่อนการเสนอขายหุ้นแก่สาธารณะชนเป็นครั้งแรก (IPO) หรือแม้แต่ระยะพลิกฟื้นธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ว่า VC ให้ความสำคัญเกี่ยวกับกำไร และธรรมชาติของกลุ่มที่ประกอบด้วยนักลงทุนหลายคน การตัดสินใจก่อนอนุมัติให้ทุนจึงใช้เวลาและความรอบคอบอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าหากให้ทุนไปแล้วจะไม่สูญเปล่าและได้ผลตอบแทนกลับมาเต็มที่ ดังนั้นการขอทุนจาก VC จึงต้องมีเตรียมตัวนำเสนอธุรกิจอย่างมีระบบแบบแผนที่ชัดเจนและน่าสนใจ ต้องเตรียมเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร และที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถอธิบายขั้นตอนและแบบแผนการทำธุรกิจได้อย่างสร้างสรรค์และมีหลักการ จนนักลงทุนกลุ่มนี้สามารถมองเห็นโอกาสที่ชัดเจน และตกลงปลงใจที่จะให้เงินเราในท้ายที่สุด
●●●
แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะหาทุนด้วยการขอสินเชื่อธนาคารหรือขอทุนจากนักลงทุน หรือแม้แต่จากคนรู้จักที่มีความหวังดีต่อเราก็ตาม สิ่งที่เราควรทำคือต้องรักษามารยาทในการดำเนินการขอความช่วยเหลือ ตั้งแต่นำเสนอโครงการอย่างตั้งใจและมุ่งมั่น ยินดีตอบข้อซักถาม ต้องประเมินสถานการณ์อย่างเป็นกลางและรับฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูดอย่างตั้งใจเสมอ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมลงทุนมีส่วนแสดงความคิดเห็นด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของความสำเร็จในการหาทุนและการทำธุรกิจด้วย
คุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม

บุคคลที่มีความสนใจ  และเตรียมตัวเข้าสู่ธุรกิจขนาดย่อม  ต้องมีคุณสมบัติของนักธุรกิจที่ดี คือ
      1.  มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับงานอาชีพ  จากการศึกษาเล่าเรียนและการทำงานจะทำให้มีความรู้และประสบการณ์พื้นฐาน  สามารถนำมาประยุกต์กับธุรกิจของตนเองได้
      2.  มีความพร้อมที่จะทำงานหนัก  มีความอดทน
      3.  มีมนุษยสัมพันธ์ มีอัธยาศัยที่ดีกับบุคคลทั่วไป
      4.  สื่อสารกับบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      5.  มีภาวะผู้นำ
      6.  มีความภาคภูมิใจในผลงาน
      7.  มีความรับผิดชอบ
      8.  กล้าเสี่ยงและกล้าตัดสินใจ
      สรุปคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ต้องการความสำเร็จ  คือ  มีความพร้อมด้านจิตใจ  ความรู้ความสามารถ มีมนุษยสัมพันธ์  ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร  และความสามารถในการบริหารจัดการ

ปัญหาในการดำเนินธุรกิจขนาดย่อม

1.  ปัญหาด้านการจัดการ ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์และขาดทักษะในการจัดการ  เนื่องจากธุรกิจขนาดย่อมเป็นกิจการของตนเอง  จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถในทุก ๆ ด้าน  เช่น  ความเป็นผู้นำ  รู้จักการวางแผนที่ดี  การนำเสนอขายและให้บริการลูกค้า  เป็นต้น
     2.  ปัญหาด้านการเงิน การประกอบธุรกิจขนาดย่อม  ผู้ประกอบการ  คือ  เจ้าของกิจการการควบคุมด้านการเงินไม่มีมาตรการที่ดีพอ  ก่อให้เกิดการขาดแคลนเงินทุน  มีการรั่วไหลของการใช้จ่ายทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่องจึงทำให้ธุรกิจล้มเหลวได้ง่าย

การเลือกประกอบอาชีพอิสระ

          การประกอบอาชีพอิสระ คือ การประกอบกิจการส่วนตัวต่าง ๆ ในการผลิตสินค้าหรือบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นธุรกิจของตนเองไม่ว่าธุรกิจนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม  ซึ่งผู้ประกอบการสามารถที่จะกำหนดรูปแบบและวิธีดำเนินงานของตัวเองได้ตามความเหมาะสม ไม่มีเงินเดือนหรือมีรายได้ที่แน่นอนตายตัว ผลตอบแทนคือเงินกำไรจากการลงทุนนั่นเอง

การประกอบอาชีพอิสระดีอย่างไร
          ปัจจุบัน แม้ว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น โครงการต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายโครงการ ทำให้มีตำแหน่งงานว่างเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถรองรับกำลังแรงงานซึ่งเพิ่มขึ้นในแต่ละปีได้ อีกทั้งการเป็นลูกจ้าง ข้าราชการและพนักงานในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่หน่วยงานนั้น ๆ ต้องการ เช่น คุณวุฒิทางการศึกษา ประสบการณ์หรือแรงงานที่มีทักษะ เป็นต้น คุณสมบัติเหล่านี้ได้กลายมาเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสของคนอีกหลายกลุ่มไม่ให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ โดยเฉพาะภาครัฐได้กำหนดอัตราการเพิ่มของข้าราชการไว้เพียง 2% นั่นย่อมหมายถึงโอกาสในการเป็นข้าราชการน้อยมาก ดังนั้น
          การประกอบอาชีพอิสระจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ว่างงาน แรงงานที่กลับจากการทำงานต่างประเทศ เยาวชนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ กลุ่มคนด้อยโอกาสต่าง ๆ ควรจะหันมาสนใจประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นการประกอบอาชีพส่วนตัว บริหารด้วยตนเอง เป็นทั้งเจ้านายและลูกน้องในขณะเดียวกัน และการมีกำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับการบริหารของตนเอง นอกจากนี้ การประกอบอาชีพอิสระยังไม่มีข้อจำกัด ด้านคุณวุฒิการศึกษา หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้กับทุกคนสามารถประกอบอาชีพได้ตามความสามารถและความสนใจของตนเอง
ผลดีของการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระคือ
          1. เป็นเจ้านายตนเอง สามารถใช้ความรู้ ความสามารถที่ตนเองถนัดได้อย่างเต็มที่
          2.กำหนดการทำงานเอง สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของตนเองได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจ
         3. รับผิดชอบกิจการเองทั้งหมด
         4. ตัดสินใจเอง มีอิสระในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่ เพราะเป็นเจ้าของเงินทุน
         5.เป็นอิสระ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ไม่ต้องรับคำสั่งจากใคร จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร เวลาใด สามารถกำหนดเองได้ทั้งสิ้น รวมทั้งความเป็นอิสระด้านความคิดสร้างสรรค์ได้อีกด้วย
         6. รายได้ไม่จำกัด ผลตอบแทนจากการดำเนินกิจการคือเงินกำไร
ซึ่งหากกิจการประสบผลสำเร็จ กำไรย่อมมากตามไปด้วย และถ้าธุรกิจนั้นมี
เจ้าของเพียงคนเดียว กำไรก็ไม่ต้องแบ่งกับใคร


คุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ

           การเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระจำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติต่างๆ เพื่อประกอบการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระอย่างมีอิสระอย่างมีคุณภาพ ได้แก่
กล้าเสี่ยง (Taking risk) การประกอบอาชีพอิสระ แตกต่างจากการเป็นลูกจ้าง เนื่องจากต้องมีการลงทุน ในขณะที่เป็นลูกจ้างไม่ต้องลงทุนอะไร การลงทุนนั้นเป็นการเสี่ยงอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งที่เราลงทุนนั้นจะได้กำไรหรือขาดทุน แต่ในความเสี่ยงนั้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบและมีเหตุผลก่อนที่จะลงทุน รวมทั้งมีจิตใจอยากเป็นผู้ชนะเสมอ
มีความคิดสร้างสรรค์ (Taking initiative) การประกอบอาชีพอิสระมิได้ยึดติดกับรูปแบบใด ๆ เนื่องจาก
ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องเป็นนายของตนเอง ดังนั้น ในการปรับปรุงสินค้าหรือบริการสามารถทำได้อย่างมีอิสระ เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรในการดำเนินธุรกิจ
มีความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะต้องเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Self - Confidence) ในการดำเนินกิจการของตนเอง จะรอให้ใครมาช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลาย่อมเป็นไปไม่ได
อดทน (Persistence and dealing with failure) การดำเนินธุรกิจของตนเองย่อมมีทั้งกำไรและขาดทุน โดยเฉพาะขั้นแรกจะต้องประสบปัญหาและอุปสรรคบ้าง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา จะต้องเป็นผู้กล้ารับผิดและถูกในเวลาเดียวกัน และพร้อมที่จะยอมรับข้อผิดพลาด และแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเองเสมอ หากพร้อมที่จะต่อสู้ปัญหาเหล่านั้น จุดหมายที่ตั้งไว้ก็จะประสบผลสำเร็จในที่สุด
มีวินัยในตนเอง (Having discipline) การประสบความสำเร็จในอาชีพซึ่งเราเป็นเจ้าของกิจการเอง จำเป็นต้องมีวินัย มีกฎระเบียบ การทำงนต้องทำสม่ำเสมอ มิเช่นนั้นความสำเร็จในอาชีพอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จเลย
มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ (Good attitude) ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานที่มีเกียรติหรือไม่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้องรักในงานที่ทำ และให้เกียรติกับงานนั้น ๆ เสมอ)
มีความรอบรู้ (Seeking information) การประกอบอาชีพอิสระ จะต้องรับรู้ข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ประโยชน์ของการรับรู้ข่าวสารจะทำให้สามารถปรับปรุงธุรกิจของตนเองให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ผลที่ได้คือกำไรนั่นเอง
มีมนุษย์สัมพันธ์ (Good human relationship) การประกอบอาชีพอิสระ จะต้องเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์อันดี เพื่อผลประโยชน์ในธุรกิจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า บุคคลรอบข้าง หรือคู่แข่งก็ตาม เพราะการมีมนุษย์สัมพันธ์อันดี จะทำให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงานเป็นอย่างยิ่ง
มีความซื่อสัตย์ (Honesty with customer) ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะต้องมีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อลูกค้า การบริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจในการขายสินค้าหรือบริการและกลับมาใช้บริการอีกเป็นหัวใจสูงสุด เพื่อผลประโยชน์ต่อธุรกิจและต่อตัวเองในที่สุด



บทที่ 10 โน้ตบุ๊ก (Notebook)

บทที่ 10 โน้ตบุ๊ก (Notebook)

สาระสำคัญ
   โน้ตบุ๊ก (Notebook) คือเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาชนิดหนึ่งที่สามารถพกพาไปในที่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก แต่จะมีราคาสูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบซีพีเมื่อเปรียบเทียบรุ่นและสรรถนะการทำงานที่เท่ากัน ในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากสรรถนะการทำงานที่สูงขึ้นประกอบกับราคาที่ถูกลง

เรื่องที่จะศึกษา
- คอมพิวเตอร์
- วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่อง
- น้ำหนักของโน้ตบุ๊ก
- ส่วนประกอบ
- ซีพียู
- อุปกรณ์ชี้
- พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก
- ระบบเสียงและลำโพง
- แบตเตอรี่
- ระบบระบายความร้อน
- ไดร์ฟเก็บข้อมูล

จุดประสงค์การเรียนรู้

  1. บอกลักษณะของคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กได้
  2. อธิบายรายละเอียดวัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่อง
  3. เขียนน้ำหนักของโน้ตบุ๊ก
  4. เขียนส่วนประกอบต่าง ๆ ของโน้ตบุ๊กได้
  5. เขียนลักษณะของซีพียู
  6. ใช้อุปกรณ์ชี้แบบต่าง ๆ ได้
  7. วาดรูปพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้
  8. บอกลักษณะระบบเสียงและลำโพงของโน้ตบุ๊กได้
  9. เขียนรายละเอียดของแบตเตอรี่ได้
  10. ใช้งานไดร์ฟเ็บข้อมูลแบบต่าง ๆ ได้

คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก

    เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก หรือขนาดพกพา หรือในบางครั้งเรียกว่าขนาดสมุดโน้ต เพราะสามารถพกพาติดตัวไปที่ต่าง ๆ ได้สะดวก  ใช้ได้ทั้งกับไฟบ้านและแบตเตอรีคะ มีน้ำหนักประมาณ 1.5 - 3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือนกับแล็ปท็อปนะคะ ปัจจุบันคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากราคาที่ถูกลงกว่าในอดีต
วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่อง

    นอกเหนือจากการที่เราจะซื้อโน้ตบุ๊กมาใช้งานซักหนึ่งเครื่อง สิ่งที่ต้องดูเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ สเปกที่ใช้งานซึ่งประกอบไปด้วยชิปประมวลผล หน่วยความจำแรม หน่วยความจำสำรอง ชิปกราฟิการ์ด และอื่นๆ อย่างเช่นช่องทางพอร์ตการเชื่อมต่อ เป็นต้น


มาในตอนนี้เราจะพามาดูอีกส่วนประกอบหนึ่งในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊ก อย่างวัสดุในการผลิตจนเป็นโน้ตบุ็กหนึ่งเครื่อง ที่หลักๆ แล้ววัสดุที่เราเห็นกันก็จะมี อาทิเช่น พลาสติก (มีทั้งแบบด้านและแบบมัน), อะลูมิเนียมอัลลอยด์ (อะลูนิเนียมผสมโลหะอื่น), แม็กนีเซียมอัลลอยด์ (แม็กนีเซียมผสมโลหะอื่น) และคาร์บอนไฟเบอร์ อีกทั้งในอนาคตเราอาจจะเห็นอีกหนึ่งวัสดุอย่าง ไฟเบอร์กลาส ในการมาเป็นวัสดุหลักในการประกอบเครื่อง Ultrabook ซึ่งมีคุณสมบัติในเรื่องของความแข็งแรงและน้ำหนักเบา แต่ก็อาจจะไม่ถึงขั้นของโลหะชนิดอื่นๆ ต่อไปเราก็จะมีดูกันว่า วัสดุแต่ละชนิดนั้นมีจุดเด่นและความน่าสนใจอย่างไรกันบ้าง


พลาสติก
          เรียกได้พลาสติกนั้นว่าเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการประกอบเป็นเครื่องโน้ตบุ๊ก Mainstream (โน้ตบุ๊กขนาด 13, 14, 15 นิ้ว ที่เน้นใช้งานแทนคอมพิวเตอร์พีซีเป็นหลัก) ที่อาจจะเป็นพลาสติกแบบเกรดธรรมดา หรือคุณภาพสูงอย่าง ABS (มีทั้งแบบด้านและแบบมันวาว) โดยราคาของโน้ตบุ๊กที่ใช้พลาสติกเป็นวัสดุนั้นจะอยู่ในช่วงราคาตั้งแต่หมื่นบาทไปจนถึงหลายหมื่นบาทด้วยกัน ซึ่งของดีของการใช้พลาสติกเป็นวัสดุในการประกอบโน้ตบุ๊กสำหรับผู้ผลิตค่ายต่างๆ ก็คือ มีต้นทุนที่ถูกที่สุด รวมไปถึงสามารถขึ้นรูปทรงได้ง่าย ถ่ายเทความร้อนได้งดี (ไม่อมความร้อน) ถึงว่าความแข็งแรงทนทานอาจจะมีไม่มากนัก สามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างสบายๆ อย่างไม่ต้องกังวล แต่ก็อาจจะมีข้อสังเกตอยู่ว่า หากใช้ไปนานๆ อาจจะมีอาการกรอบ ทำให้แตกหักได้ง่าย รวมไปถึงสีสันที่เคลือบเอาไว้อาจจะหลุดลอกได้


ที่ส่วนมากหรือเกือบ 100% ของโน้ตบุ๊กทั้งหมดที่ใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบนั้น จะเน้นไปในเรื่องของความคุ้มค่าในส่วนของสเปกและราคาเป็นหลัก ซึ่งในการใช้งานจริงๆ วัสดุอย่างพลาสติกอาจจะไม่ได้ให้ในเรื่องของความที่เป็นวัสดุระดับสูงนัก แต่ก็ถือว่าเหมาะสมกับคนที่ไม่เน้นในเรื่องของวัสดุในการประกอบ เพราะหากเทียบโน้ตบุ๊กเสปกเดียวกัน ที่ต่างกันด้วยวัสดุและดีไซน์ล่ะก็ จะเห็นว่าโน้ตบุ๊กที่ใช้วัสดุเป็นพลาสติกนั้นจะมีราคาถูกกว่าร่วมหมื่นบาทเลยทีเดียว


ซอฟท์ทัช
          ซอฟท์ทัช (Soft Touch) เป็นวัสดุประเภทพลาสติกกึ่งยางที่เกิดจากกระบวนการฉีดพลาสติกเข้าสู่แม่พิมพ์แล้วทำการรีดผ่านโรลเย็น โดยวิธีการทำนั้นต้องอาศัยเวลาและน้ำหนักการดึงที่พอดี ไม่เช่นนั้นพื้นผิวยางจะเกิดความเสียหายได้ โดยหลังจากผ่านกระบวนการข้างต้นแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการ Thermoforming ที่เป็นกระบวนการขึ้นรูป ให้พลาสติกขึ้นรูปเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ด้วย

4. ส่วนประกอบ
          นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญ และปัจจัยหนึ่งไปแล้ว สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดพกพา หรือที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ถึงแม้ปัจจุบันจะมีกระแสแท็บเล็ตที่มีความสามารถมาก ให้ผู้ใช้เลือกใช้ แต่ความสามารถก็ยังไม่เจ๋งเท่าเครื่องคอมพิวเตอร์ และโดยเฉพาะที่เป็นแบบโน๊ตบุ๊คแล้ว ทุกวันนี้เรียกได้ว่าประสิทธิภาพถูกพัฒนาขึ้นมาก ทั้งความเร็วและความแรง ให้งานได้ดีและเหมาะสมกว่าเครื่องแบบพีซีด้วยซ้ำไป แถมราคาก็ยังถูกลงมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเป็นที่นิยม และมีผู้ใช้งานเป็นจำนวณมาก วันนี้ i7 จึงขอนำเสนอบทความที่อาจมีประโยชน์กับผู้ใช้มือใหม่หลายๆท่าน ที่บางคนอาจจะไม่รู้จักส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่ตัวเองซื้อมา และแต่ละอย่างมันทำหน้าที่อะไรบ้าง

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
จากภาพประกอบ i7 จะพูดถึงรายละเอียดคร่าวๆ พอให้รู้จักส่วนต่างๆ กันไปก่อน แล้วจะค่อยๆเจาะลึกแต่ละส่วน
A : หน้าจอแสดงผล หรือจอแอลซีดี(LCD) สำหรับแสดงผลให้เราสามารถติดต่อและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
B : กล้องเว็บแคม ส่วนมากโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ จะมีมาให้ด้วยเสมอ กล้องนี้ก็มีไว้สำหรับใช้สนทนาผ่านกล้องเว็บแคม หรือวิดีโอคอลเป็นต้น
C : ปุ่มเปิดเครื่อง สำหรับปุ่มเปิดเครื่องแต่ละรุ่น ก็อาจจะอยู่ตำแหน่งที่ต่างกัน
D : คีย์บอร์ด สำหรับพิมพ์ หรือป้อนข้อมูลเข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
E : ทัชแพ็ด (Touchpad) คือเมาส์แบบทัชแพ็ด สำหรับควบคุมเคอร์เซอร์ในการทำงาน
F : ปุ่มกดคลิ๊กซ้าย/ขวา ใช้สำหรับคลิ๊ก และคลิ๊กขวา ตามลำดับ เหมือนกับการใช้ในเมาส์แบบทั่วๆไป 

G : พอร์ท USB 3.0 สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบใหม่ๆ จะมีพอร์ทที่รองรับ USB 3.0
H : ออปติคอลไดรว์ หรือ DVD Drive สำหรับอ่าน CD/DVD หรือแผ่นดิสก์ทั่วไป
I : ช่องเสียบ USB
J : ช่องเสียบสายชาร์จโน๊ตบุ๊ค
K : ช่องระบายความร้อน
L : พอร์ตเสียบสายแลน (Ethernet RJ-45)
M : พอร์ต VGA สำหรับกับจอแสดงผลภายนอก
N : พอร์ตต่างๆ เช่น USB ช่องเสียบไมโครโฟน ช่องเสียบลำโพง เป็นต้น
หมายเหตุ * ตำแหน่งที่ัตั้งของส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์แต่ละรุ่นอาจแตกต่างกันไป
ซีพียู (CPU)

   CPU หรือ Central Processing Unit เป็นหัวใจหลักในการประมวลของคอมพิวเตอร์ โดยพื้นฐานแล้วซีพียูทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลเชิงคณิตศาสตร์และข้อมูลเชิงตรรกะเท่านั้น แต่ทำไมการคำนวณขนาดนี้ ต้องมีการพัฒนาซีพียูกันไม่หยุดหย่อน ย้อนกลับไปปี 1946 คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีชื่อที่พอจะจำได้ก็คือ ENIVAC นั้นทำงานโดยใช้หลอดไดโอด ซึ่งสถานะการทำงานของหลอดพวกนี้ มีสองอย่าง คือ 1 กับ 0 จะมีค่าเป็น 1 เมื่อมีกระแสไหลผ่านและเป็น 0 เมื่อไม่มีกระแสไหลผ่าน นั่นจึงเป็นเหตุผลให้คอมพิวเตอร์ใช้เลขฐาน 2 ในการคำนวณ ครั้นต่อมาวิทยาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จากหลอดไดโอดก็พัฒนาเป็นทรานซิสเตอร์ และจากทรานซิสเตอร์ก็พัฒนาเป็นวงจรขนาดเล็ก ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ IC และในที่สุดก็พัฒนาเป็น Chip อย่างที่เรารู้จักกันมาจนปัจจุบันนี้ 

                   สิ่งที่ผู้ผลิตซีพียูพยายามเพิ่มก็คือ ประสิทธิภาพในการประมวลผลของซีพียู เมื่อกล่าวถึงซีพียูและการประมวลผล สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือภายในซีพียูไม่มีหน่วยเก็บข้อมูลสำหรับเก็บข้อมูลปริมาณมากๆ และซีพียูในยุคแรกๆ ก็ไม่มี Cache ด้วยซ้ำไป ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วของซีพียูก็คือ ความเร็วในการประมวลผลและความเร็วในการโอนย้ายข้อมูล ซีพียูในยุคแรกๆ นั้นประมวลผลด้วยความเร็ว 4.77 MHzและมีบัสซีพียู (CPU BUS) ความกว้าง บิต เรียกกันว่าซีพียู บิต (Intel 8080 8088) นั้นก็คือซีพียูเคลื่อนย้ายข้อมูลครั้งละ ไบต์ ยุคต่อมาเป็นซีพียู 16 บิต 32 บิต และ 64 บิต ปัจจุบันโดยเฉพาะซีพียูรุ่นใหม่ๆ เคลื่อนย้ายข้อมูลครั้งละ 128 บิต ในการเคลื่อนย้ายข้อมูลนั้น เกิดขึ้นจากการควบคุมสัญญาณนาฬิกา ซึ่งนับสัญญาณเป็น Clock 1 เช่น ซีพียู 100 MHz หมายความว่าเกิดสัญญาณนาฬิกา 100 ครั้งต่อวินาที



พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก


พอร์ต USB

พอร์ตยูเอสบี เป็นพอร์ตแบบใหม่ล่าสุด ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับพีซีคอมพิวเตอร์ ให้สามารถรับส่งข้อมูลให้รวดเร็วขึ้น สามารถต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 127 ชิ้น เพราะมีแบนด์วิดธ์ในการรับส่งข้อมูลสูงกว่า พอร์ตแบบนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับระบบปลั๊กแอนด์เพลย์บนวินโดวส์ 98 ปัจจุบัน มีฮาร์ดแวร์จำนวนมากที่สนับสนุนการเชื่อมต่อแบบนี้ เช่น กล้องดิจิตอล เมาส์ คีย์บอร์ด จอยสติ๊ก สแกนเนอร์ ซีดีอาร์ดับบลิว เป็นต้น สำหรับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ จะมีพอร์ตแบบนี้จะมีพอร์ตแบบนี้อยู่ในเครื่องเรียบร้อยแล้ว 
  คอมพิวเตอร์ปกติจะมี 2 USB Port ถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าที่ไม่มี USB สามารถหาซื้อการ์ด USB มาติดตั้งได้ 
  เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สูงประมา 3-5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1-2 เซ็นติเมตร 
  พอร์ตชนิดใหม่รับส่งความเร็วได้สูงกว่า port ทั่ว ๆ ไป 
  สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อเนื่องได้ 127 ตัว 
  เป็นมาตราฐานใหม่ที่มีมากับเครื่องคอมพิวเตอร์ 
  การติดตั้ง เพียงต่ออุปกรณ์เข้ากับ USB port ก็สามารถใช้งานอุปกรณ์นั้นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้อง boot เครื่องใหม่


พอร์ตอนุกรม

เป็นพอร์ตสำหรับต่อกับอุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต โดยส่วนใหญ่เราจะใช้สำหรับต่อกับเมาส์ในกรณีที่คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นไม่มีพอร์ต PS/2 หรือเป็นเคสแบบ AT นอกจากนั้นเรายังใช้สำหรับเป็นช่องทางการติดต่อโมเด็มด้วย ในคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องจะมีพอร์ตอนุกรมให้อยู่สองพอร์ต เรียกว่าพอร์ตคอม 1 และพอร์ตคอม 2 นอกจากนั้นอาจจะมีฮาร์ดแวร์บางตัว เช่น จอยสติ๊กรุ่นใหม่ ๆ มาใช้พอร์ตอนุกรมนี้เช่นกัน 
  พอร์ตอนุกรมจะมีหัวเข็ม 9 เข็ม หรือ 25 เข็ม (พอร์ตนี้จะเป็นตัวผู้ เพราะมีเข็มยื่นออกมา) 
  พอร์ตนี้จะต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เม้าส์ โมเด็ม สแกนเนอร์ เป็นต้น 
  สามารถต่อความยาวได้ถึง 6 เมตร และราคาสายก็ไม่แพงนัก

พอร์ตขนาน 

     หน้าที่ของพอร์ตตัวนี้ก็คือใช้สำหรับติดต่อกับเครื่องพิมพ์เป็นหลัก ปัจจุบันมีการพัฒนาให้สามารถใช้งานร่วมกับสแกนเนอร์ หรือว่าไดรฟ์ซีดีอาร์ดับบลิวได้ด้วย พอร์ตแบบนี้มีขนาดยาวกว่าพอร์ตอนุกรมทั่ว ๆ ไป โดยมีจำนวนพินเท่ากับ 25 พิน สังเกตได้ง่าย 
  พอร์ตขนานจะมีรู 25 รู (พอร์ตนี้จะเป็นตัวเมีย หมายถึงมีรูที่ตัวพอร์ต) 
  พอร์ตนี้จะต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ เทปไดร์ฟ สแกนเนอร์ เป็นต้น 
  สามารถต่อความยาวไม่มากนัก แถมมีราคาแพงกว่าสายของพอร์ตอนุกรมด้วย 
  การส่งสัญญาณจะส่งได้เร็วกว่าพอร์ตอนุกรม


แบตเตอรี่
อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ใช้เก็บพลังงาน และนำมาใช้ได้ในรูปของไฟฟ้าแบตเตอรี่นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าเคมี เช่น เซลล์กัลวานิกหรือเซลล์เชื้อเพลิง ย่างน้อยหนึ่งเซลล์
เชื่อกันว่าหลักฐานชิ้นแรกสุดที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ในประวัติศาสตร์โลก คือ วัตถุที่เรียกว่าแบตเตอรี่แบกแดด (Baghdad Battery) คาดว่ามีอายุในช่วง 250 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศักราช 640 สำหรับพัฒนาการของแบตเตอรี่ในยุคใหม่นั้น เริ่มต้นที่ ที่พัฒนาขึ้นโดยนักฟิสิกส์ชาวอิตาลี นามว่า
 เมื่อ ค.ศ. 1800 ปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ทั่วโลกสามารถสร้างรายได้จากการขายปีละ 4.8 หมื่นล้านดอลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ระบบระบายความร้อน
    
    โน๊ตบุ๊กปัจจุบันนิยมใช้ซีพียูที่มีความเร็วสูงระดัวกิกะเฮิร์ตขึ้นไป เช่นเดียวกับซีพียูของคอมพิวเตอร์ระบบซีพี เพราะฉนั้นจำเป็นจะต้องทำการติดตั้งพัดลมระบายความร้อนเพื่อช่วยระบายความร้อนให้เครื่องมีเสถียรภาพในการทำงานดีขึ้น โดยทั่วไปบริษัทผู้ผลิตจะออกแบบช่องดูดอากาศและช่องเป้าความร้อนออกจากเครื่องไว้บริเวณด้านข้างของโน้ตบุ๊ก 


ไดร์ฟเก็บข้อมูล
   โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่จะตั้งดิกส์เก็ตไดร์ฟขนาด 3.5 นิ้ว เพื่อให้ใช้งานร้วมกันกับแผ่นดิสก์ที่จุข้อมูล 1.44 MB ได้ แต่บางรุ่นก็ไม่ได้ติดตั้งมาให้ ถ้าต้องการใช้งานจะต้องนำมาเชื่อต่อผ่านพอร์ตอนุกรมอีกทีหนึ่ง แต่ไดร์ที่นิยมติดตั้งให้กับโน้ตบุ๊กทุกเครื่องคือไดร์ฟแบบซีดีรอม


บทที่ 9 การติดตั้งอุปกรณ์

บทที่ 9 การติดตั้งอุปกรณ์

สาระสำคัญ
    การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเป็นจะต้องมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ กล้องดิจิตอล เป็นต้น การติดตั้งจำเป็นจะต้องมีความรู้ในการต่อพ่วงแลี่จะสามารถลงไดรเวอร์ เพื่อทำให้อุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงใช้งาน

เรื่องที่จะศึกษา
- พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง
- การติดตั้งเครื่องพิมพ์
- การติดตั้งสแกนเนอร์
- การติดตั้งกล้องดิจิตอล

จุดประสงค์การเรียนรู้

  1. อธิบายหน้าที่พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงได้
  2. ต่อสายสัญญาณต่าง ๆ ที่อยู่หลังเครื่องได้
  3. ติดตั้งเครื่องพิมพ์ได้
  4. ติดตั้งสแกนเนอร์ได้
  5. ติดตั้งกล้องดิจิตอลได้
พอร์ตเชื่อต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง
     พอร์ตเชื่อต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง คือตำแหน่งที่ใช้ในการต่อสายสัญญาณไปยังอุปกรณ์ต่อพ่วงเทคนิคต่าง ๆ การเชื่อมต่อให้ศึกษาจากข้อมูลหรือสังเกตจากสัญลักษณ์ที่บริเวณจุดเชื่อมต่อก่อนทำการต่อสายสัญญาณ ต่อไปจะขอแนะนำพอร์ตที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่อยู่หลังตัวเครื่องดังนี้

ปลั๊กไฟ
    เป็นจุดที่ใช้เชื่อมต่อกับสายไฟเพาเวอร์มี 2 จุดด้วยกันคือจุดที่ต่อเข้ากับปลั๊กไฟบ้าน 220 โวลท์ และจุดที่ต่อเข้ากับจุดต่อปลั๊กไฟแล้วนำไปเสียบเข้าปลั๊กไฟบ้าน 220 โวลท์ ส่วนปลั๊กไฟที่ใช้สำหรับต่อกับจอภาพอาจจะต่อที่ตำแหน่งปลั๊กไฟต่อกับจอภาพหรือแยกไปต่อกับไฟบ้านอีกจุดจุดหนึ่งก็ได้

พอร์ตต่อภาพ
พอร์ตต่อจอภาพเป็นจุดที่นำสายสัญญาณต่อเข้ากับการ์ดจอที่บริเวณหัวต่อแบบ DB15 ที่เรียกว่า DB15  เพราะมีจำนวนขาของสัญญาณจำนวน 15 ขา แล้วนำสัญญาณจากการ์ดจอไปแสดงผลยังจอภาพ 





พอร์ต PS/2 ของเมาส์และคีย์บอร์ด
    พอร์ต PS/2 ของเมาส์และคีย์บอร์ดจะมีลักษณะเหมือนกันคือมี 6 รู เป็นจุดที่ใช้เชื่อมต่อเมาส์และคีย์บอร์ด จุดที่ใช้สังเกตคือสัญลักษณ์บริเวณจุดต่อหรือสีของพอร์ต ถ้าเป็นพอร์ตสำหรับต่อเมาส์จะมีสีเขียวแต่ถ้าเป็นพอร์ตสำหรับต่อคีย์บอร์ดจะเป็นสีม่วง ในกรณีที่ต่อผิดจะทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้




พอร์ต USB
    เป็นพอร์ตแบบอนุกรมที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลายประเภท เช่น แฮนดรี้ไดรฟ์ เครื่องพิมพ์ กล้องดิจิตอล สแกนเนอร์ เป็นต้น ระบบปฏิบัติการที่สนับสนุนการทำงานกับอุปกรณ์ USB คือระบบปฏิบัติการวินโดวส์ตั้งแต่รุ่น 98

พอร์ตขนาน

    พอร์ตขนาน (Parallel Port) เป็นจุดที่ใช้เชื่อมต่อเครื่องพิมพ์รุ่นเก่าเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้

ในการพิมพ์ข้อความหรือรูปภาพออกทางกระดาษพิมพ์


การติดตั้งเครื่องพิมพ์

ขั้นตอนที่ 1 ดูว่าเครื่อง printers พร้อมที่จะใช้งานหรือไม่ โดยตรวจสอบที่สายเครื่องprinters ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่ หากยังให้เสียบสายเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่อง printers แล้วเสียบปลั๊กเครื่อง printers พร้อมที่จะใช้งานได้
ขั้นตอนที่ 2 ไปที่ เมนู Start เลือกที่ settings แล้วเลือก printers


ขั้นตอนที่ 3 เลือกที่ Add printers จะปรากฏหน้าต่าง Add Printers Wizard จากนั้นกด Next


ขั้นตอนที่ 4 เลือก Local printers แล้วกดปุ่ม Next


นตอนที่ 5 จากนั้นจะปรากฏหน้าต่างถามหารุ่นของ printers ที่ท่านต้องการ ตัวอย่างเช่น HP LaserJet 2000


ขั้นตอนที่ 6 หากไม่มีรุ่นของ printers ที่ต้องการให้คลิกที่ปุ่ม Have Disk จากนั้นให้นำแผ่น Drive ของเครื่องprinters รุ่นที่ต้องการมาทำการติดตั้ง


ขั้นตอนที่ 7 เลือกรุ่นของ Printers ที่ต้องการแล้วกด Next


ขั้นตอนที่ 8 เลือก Port Printers ที่ต้องการแล้วกด Next


ขั้นตอนที่ 9 จะปรากฏหน้าต่างถามว่าต้องการทดสอบพิมพ์หรือไม่ ถ้าต้องการตอบ Yes ถ้าไม่ต้องการ ให้ตอบ No จากนั้นกดปุ่ม Finish เสร็จสิ้นการติดตั้ง


การติดตั้งสแกนเนอร์

ผู้ใช้เข้าระบบตามปกติ ให้หน้าจอหลักสังเกตเมนู เครื่องมือ แล้วเลือกเมนู โปรแกรม WebScan ตามระบบปฏิบัติการของเครื่องที่จะติดตั้งโปรแกรม


กดที่เมนู เพื่อเริ่มขั้นตอนการติดตั้งโปแกรม  โดยสามารถแบ่งขั้นตอนการติดตั้งออกเป็น ขั้นตอน หลักๆ ดังนี้  
-          ขั้นตอนการ ดาวน์โหลดโปรแกรม
-          ขั้นตอนการเปิดโปรแกรม webscan.zip
-          ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม webscan (Setup)


1.       ขั้นตอน ดาวน์โหลดโปรแกรม  เป็นการสำเนาโปรแกรมการติดตั้งจากเครื่องแม่ข่าย (Server) มายังเครื่องลูกข่าย (WorkStation,Clientหรือ อาจสำเนา (Copy) จากเครื่องหรือแหล่งที่เคยดาวน์โหลดมาแล้วก็ได้ ซึ่งหลังจากเลือกทำงาน ที่เมนู ระบบจะเริ่มทำงาน
เลือก ¤ Save this program to disk   จากนั้นกดปุ่ม [OK] เพื่อเริ่มสำเนาโปรแกรมจากเครื่องแม่ข่าย


โดยระบบจะถามสถานที่เก็บไฟล์ ซึ่งผู้ใช้จะต้องกำหนดแหล่งที่เก็บให้ระบบก่อน โดยอาจกำหนดเป็น Path C:\Temp ก็ได้  สำหรับโปรแกรมที่สำเนาระบบจะกำหนดชื่อมาให้เป็น  webscan.zip
กดปุ่ม Save เพื่อเริ่มสำเนาโปรแกรมไปเก็บยังแหล่งที่เลือก


ระบบจะทำการสำเนาโปรแกรม ผู้ใช้สังเกตการทำงานและรอจนครบ 100% ระบบจะปิดหน้าจอและ กลับมาที่หน้าหลักตามปกติ ถือเสร็จขั้นตอน ที่ 
ส่วนโปรแกรมที่ ระบบจะส่งมาให้ จะอยู่ในรูปของ ZipFile เป็นการลดขนาดไฟล์ และประหยัดเวลาการโหลด
2.       ขั้นตอนการเปิดโปรแกรม webscan.zip  หลังจากระบบส่งโปรแกรมมาให้แล้ว ผู้ใช้จะต้องไปแหล่งที่เก็บsหรือ ดาวน์โหลดไว้ เพื่อเปิดโปรแกรม Zip (UnZip)


สังเกตโปรแกรมชื่อ Webscan  ผู้ใช้กดดับเบิลคลิกส์ระบบจะขยายไฟล์ (เครื่องที่ใช้ระบบต้องมีโปรแกรม WinZip เพื่อสั่งทำงานจากนั้นเลือกแหล่งที่เก็บไฟล์ หลังจากขยาย



กดปุ่ม UnZip เพื่อเริ่มขยายหรือ แตกไฟล์ที่ Zip ในแหล่งที่กำหนด (Unzip to folder)


หลังจากเสร็จขั้นตอนการ Unzip ไฟล์ และมาตรวจสอบผู้ใช้จะพบไฟล์ Setup.exe ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับสั่งติดตั้งโปรแกรมสแกน

ผู้ใช้สามารถกดดับเบิลคลิกส์ ที่ Setup เพิ่มเริ่มติดตั้งโปรแกรมพิมพ์เอกสาร


3.       ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการติดตั้งโปรแกรมสแกนเอกสาร โดยผู้ใช้ดับเบิลคลิกส์ ไฟล์ Setup ระบบจะเริ่มติดตั้งซึ่งผู้ใช้ กดที่ปุ่ม [ Next > ]    2 ครั้ง

ระบบจะเริ่มทำการติดตั้งโปรแกรมให้เองอัตโนมัติ โดยผู้ใช้สังเกตการทำงาน และรอจนครบ 100%


ในกรณี ที่ต้องการยกเลิก ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Cancel  เพื่อยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม แต่ก็ไม่มีผลไดๆ ผู้ใช้สามารถเรียกติดตั้งได้อีกหากต้องการ

จากนั้นระบบจะให้ผู้ใช้ป้อน หมายเลข IP Address: ของเครื่องแม่ข่ายที่จะต้องส่งข้อมูล ในการสแกนเข้าไปเก็บ (FTP Upload)  ส่วน Virtual Directory ระบบกำหนดมาให้แล้ว ผู้ใช้กดปุ่ม  [OK] เพื่อติดตั้งขั้นตอนต่อไป



หลังจากเสร็จขั้นตอนการ IP Address (ระบบจะไม่ตรวจสอบความถูกต้องให้ว่า IP ที่ป้อนมีหรือไม่ ผู้ใช้จะต้องทราบ และได้ข้อมูล IP Address มาแล้วอย่างถูกต้อง ) จากนั้นระบบจะแสดงหน้าจอการทำงาน ผู้ใช้เลือกที่ ¤ No., I will restart my computer later   และ กดปุ่ม Finish  2 ครั้ง

ซึ่งถือเป็นการเสร็จขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม ส่วนโปรแกรม สำหรับ Setup.exe และ ไฟล์ประกอบสำหรับการติดตั้งทั้งหมด ใน c:\temp สามารถลบทิ้งได้ หรือ Copy เก็บไว้ เพื่อใช้ติดตั้งโปรแกรมในเครื่องต่อๆ ไป โดยไม่ต้องทำงานในขั้นตอนที่ และ 2ผู้ใช้สามารถเรื่องขั้นตอนที่ ทำงานในเครื่องต่อๆ ไปได้ทันที